ฝังยาคุม อีกหนึ่งทางเลือกในการคุมกำเนิด

ฝังยาคุม

ปัจจุบันการคุมกำเนิดเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการวางแผนครอบครัวและสุขภาพของผู้หญิง วิธีการคุมกำเนิดมีหลากหลายแบบ แต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมแตกต่างกันไป การเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ สุขภาพ ไลฟ์สไตล์ และความต้องการในการมีบุตรในอนาคต หนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือวิธี “ฝังยาคุม” เป็นวิธีการคุมกำเนิดระยะยาวชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการใช้อุปกรณ์คุมกำเนิดฝังใต้ผิวหนัง ระยะเวลาการใช้งานของอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 3 ปี เพื่อให้ยังคงป้องกันการตั้งครรภ์ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เมื่อครบเวลา โดยแพทย์จะทำการฝังแท่งเล็กๆ ที่บรรจุฮอร์โมนไว้ใต้ผิวหนังบริเวณด้านในของท่อนแขน ฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างต่อเนื่องช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สารบัญ

  • ฝังยาคุม คืออะไร 
  • การฝังยาคุมทำงานอย่างไร 
  • ขั้นตอนการฝังยาคุม 
  • การถอดยาคุมกำเนิด 
  • ข้อดี ข้อเสียของการฝังยาคุม 
  • ผลข้างเคียงของการฝังยาคุม 
  • ใครไม่เหมาะกับฝังยาคุม 
  • สรุป 

ฝังยาคุม คืออะไร

การฝังยาคุม หรือ อุปกรณ์คุมกำเนิดฝังใต้ผิวหนัง เป็นวิธีการคุมกำเนิดชนิดหนึ่งที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีความสะดวกและมีประสิทธิภาพสูง โดยแพทย์จะฝังแท่งเล็กๆ ที่บรรจุฮอร์โมนไว้ใต้ผิวหนังบริเวณด้านในของท่อนแขน (birth control implant) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายแท่ง วางอยู่ใต้ผิวหนัง อุปกรณ์นี้ปล่อยฮอร์โมนโปรเจสเตอริน (progestin) เข้าสู่กระแสเลือดของคุณอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ อุปกรณ์คุมกำเนิดที่ฝังใต้ผิวหนังมีความยาวประมาณ 1.6 นิ้ว (4 เซนติเมตร) และมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งในแปดนิ้ว อุปกรณ์นี้มีความยืดหยุ่น สามารถงอได้และมีขนาดประมาณเท่ากับไม้ขีดไฟ

ฝังยาคุม คืออะไร

การฝังยาคุมทำงานอย่างไร

ยาฝังคุมกำเนิดจะปล่อยฮอร์โมนโปรเจสตินเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ ฮอร์โมนโปรเจสตินจะช่วยป้องกันไม่ให้มีการตกไข่ นอกจากนี้ ยังทำให้เมือกในปากมดลูกหนาขึ้น ทำให้สเปิร์มยากที่จะเข้าถึงไข่ (ในกรณีที่เกิดการตกไข่) และทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลง ทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิยากที่จะฝังตัว โดยการฝังยาคุมมีด้วยกัน 3 แบบ คือ 

  • ยาคุมแบบ 1 ปี โดยทั่วไปจะใช้ฮอร์โมน Levonorgestrel  เป็นฮอร์โมนโปรเจสตินสังเคราะห์ มีปริมาณฮอร์โมนที่ปล่อยออกมามากกว่า ทำให้มีผลข้างเคียงมากกว่า และต้องเปลี่ยนแท่งยาบ่อยกว่า
  • ยาคุมแบบ 3 ปี ส่วนใหญ่ใช้ฮอร์โมน Etonogestrel ซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีฤทธิ์คล้ายโปรเจสเตอโรน มีปริมาณฮอร์โมนที่ปล่อยออกมาน้อยกว่า ทำให้ผลข้างเคียงน้อยกว่า และคุมกำเนิดได้นานกว่า  
  • ยาคุมแบบ 5 ปี ประกอบด้วยแท่งยา 2 แท่ง แต่ละแท่งบรรจุฮอร์โมน Levonorgestrel มีกลไกการทำงานเช่นเดียวกับยาคุมแบบฝัง 3 ปี

ขั้นตอนการฝังยาคุม

  • นอนคว่ำบนเตียงตรวจ โดยงอแขนของคุณที่ข้อศอกเหมือนตัวอักษร “L”
  • ทำความสะอาดบริเวณใต้ท้องแขนด้านใน ฉีดยาชาเฉพาะที่ เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บ
  • โดยทั่วไป ยาจะถูกฝังที่แขนที่คุณไม่ถนัด 
  • แพทย์จะฝังยาคุมกำเนิดใต้ผิวหนังโดยใช้เครื่องมือพิเศษคล้ายเข็ม
  • ไม่จำเป็นต้องเย็บแผล แต่แพทย์อาจวางผ้าพันแผลไว้ด้านบน ซึ่งยังช่วยในการลดรอยช้ำ
  • หลังจากฝังยา ควรสังเกตอาการตัวเอง หากมีอาการผิดปกติควรแจ้งแพทย์

การถอดยาคุมกำเนิด

การถอดยาฝังคุมกำเนิดสามารถทำได้ตลอดเวลาหลังจากการฝัง ขึ้นอยู่กับความต้องการ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับเวลาที่เหมาะสมในการถอด แพทย์อาจแนะนำให้คุณงดกิจกรรมหนักๆ ก่อนการถอด และอาจต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดก่อนเข้ารับการรักษา 

  • แพทย์จะทำให้ผิวหนังของคุณชาด้วยยาชาเฉพาะที่
  • จากนั้น แพทย์จะกรีดผิวหนังขนาดเล็กและดึงยาฝังคุมกำเนิดออกด้วยคีมหรือแหนบขนาดเล็ก
  • หลังการถอดไม่จำเป็นต้องเย็บแผล แพทย์จะปิดแผลด้วยผ้าพันแผล หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล ทำความสะอาดแผล และสังเกตอาการติดเชื้อ
  • กระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

ข้อดี ข้อเสียของการฝังยาคุม

ข้อดีของการฝังยาคุม

  • ปัจจุบันการฝังยาคุมใช้ได้นานถึง 3 ปี แต่มีประสิทธิภาพได้นานถึง 5 ปี
  • ไม่จำเป็นต้องทานยาประจำทุกวันหรือเปลี่ยนยาประจำสัปดาห์
  • ไม่รบกวนความสัมพันธ์ทางเพศ
  • ฝังยาคุมไม่เห็นได้จากภายนอก
  • ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้การคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน
  • ฝังยาคุมสามารถให้นมบุตรได้
  • สามารถช่วยลดประจำเดือนที่มีมากเกินไป
  • สามารถตั้งครรภ์ได้ทันทีหลังจากถอดยาฝังคุมกำเนิด

ข้อเสียของการฝังยาคุม+

  • อาจมีผลข้างเคียงชั่วคราว
  • ประจำเดือนอาจไม่สม่ำเสมอ
  • อาจทำให้เป็นสิวเยอะขึ้น
  • ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs)
  • แพทย์ต้องถอดออกเมื่อใช้เสร็จแล้ว
  • อาจมีผลต่อยาบางชนิดและยาปฏิชีวนะ
  • มีความเสี่ยงเล็กน้อยในการติดเชื้อผิวหนังที่บริเวณที่ฝัง
ข้อดีของการฝังยาคุม

ผลข้างเคียงของการฝังยาคุม

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ เลือดออกกะปริดกะปรอย หรือประจำเดือนอาจหยุดไปเลย
  • อาจรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
  • บางรายอาจน้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือลดลง
  • มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง อาจมีสิวขึ้น ผิวมัน หรือผมร่วง
  • อาจมีอาการปวดศีรษะบ่อยขึ้น
  • อาจรู้สึกเจ็บเต้านมหรือเต้านมบวม
  • อาจมีอาการปวดท้องน้อย
  • อาจรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ

ผลข้างเคียงที่รุนแรง (เกิดขึ้นได้น้อย)

  • เกิดลิ่มเลือด แม้จะเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็เป็นผลข้างเคียงที่ร้ายแรง อาการ เช่น ปวดขาบวม แดง รู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
  • ภาวะหัวใจวาย
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • เนื้องอกในตับ

ใครไม่เหมาะกับฝังยาคุม

  • ผู้ที่มีประวัติเลือดออกผิดปกติ
  • ผู้ป่วยโรคตับ
  • ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม
  • ผู้ที่แพ้ฮอร์โมนโปรเจสเตอริน
  • ผู้ที่มีประวัติการเกิดลิ่มเลือดหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมอง

สรุป

การฝังยาคุมกำเนิดเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ สะดวกสบาย และมีอัตราความสำเร็จสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามอาจมีผลข้างเคียง เช่น การเปลี่ยนแปลงรอบเดือน หรืออาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน แต่ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการฝังยาคุมควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

แท็กที่เกี่ยวข้อง

สารบัญ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง