การคลอดลูกให้ปลอดภัย วิธีไหนเหมาะกับใคร?

การคลอดลูก

การคลอดลูกเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่มหัศจรรย์ เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้หญิงตั้งครรภ์ รวมถึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งการคลอดลูกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีวิธีการคลอดที่หลากหลาย แต่ละวิธีมีความเหมาะสมตามสถานการณ์และสภาวะทางการแพทย์ของคุณแม่และทารก ในการเลือกวิธีการคลอดแพทย์จะพิจารณาสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารก รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการคลอดลูกในแต่ละขั้นตอนจะช่วยให้คุณแม่สามารถเตรียมพร้อม ลดความกังวลในกระบวนการคลอดและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นได้

สารบัญ

  • การคลอดลูก คืออะไร 
  • เจ็บท้องคลอด คืออะไร 
  • ขั้นตอนและกระบวนการคลอด 
  • ประเภทของการคลอดลูก 
  • ปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดลูก 
  • ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดในการคลอดลูก 
  • สรุป 

การคลอดลูก คืออะไร?

การคลอดลูกคือ กระบวนการทางธรรมชาติที่ร่างกายของสตรีตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ทารกที่เจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ออกมาสู่โลกภายนอก  โดยปกติจะเกิดขึ้นเมื่อครบกำหนดตั้งครรภ์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 36-42 สัปดาห์  กระบวนการนี้ประกอบด้วยหลายระยะ ซึ่งเริ่มจากการบีบรัดของมดลูกเพื่อให้ปากมดลูกเปิดออก และช่วยให้ทารกเคลื่อนตัวผ่านช่องคลอดจนกระทั่งคลอดออกมา

เจ็บท้องคลอด คืออะไร?

เจ็บท้องคลอดเป็นอาการปวดบริเวณท้องน้อยเกิดจากการหดตัวของมดลูก ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าร่างกายกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูก อาการเจ็บท้องคลอดจะค่อย ๆ เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งทารกคลอดออกมา

เจ็บท้องคลอดแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

  • เจ็บท้องเตือน: เป็นอาการปวดท้องน้อยแบบไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ อาการไม่รุนแรงนัก และสามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อน หรือการใช้ยาแก้ปวดทั่วไป
  • เจ็บท้องจริง: เป็นอาการปวดท้องน้อยแบบสม่ำเสมอ อาการปวดจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระยะห่างระหว่างการปวดแต่ละครั้งจะสั้นลง และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีมูกเลือดออกจากช่องคลอด อาจรู้สึกปวดหลังร้าวลงมาที่ขา
ขั้นตอนและกระบวนการคลอดลูก

ขั้นตอนและกระบวนการคลอด

กระบวนการคลอดโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ดังนี้

ระยะที่ 1: ระยะการเจ็บครรภ์ ปากมดลูกเปิด

มดลูกจะเริ่มบีบตัวเป็นช่วง ๆ เพื่อให้ปากมดลูกเปิดออกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถให้ทารกผ่านออกมาได้รู้สึกเจ็บปวดท้องน้อยและหลัง ปวดแบบปั่นป่วนคล้ายประจำเดือน แต่รุนแรงกว่า ซึ่งระยะที่ 1 ของการคลอดเป็นระยะที่ยาวนานที่สุดของการคลอด โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อย คือ การคลอดระยะเริ่มต้นและการคลอดระยะกระตือรือร้น 

  • การคลอดระยะเริ่มต้น (early labor) ปากมดลูกจะเปิดน้อยกว่า 6 เซนติเมตรในระยะนี้ การบีบรัดมักจะไม่รุนแรงและอาจไม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระยะนี้อาจกินเวลาแตกต่างกัน ตั้งแต่ชั่วโมงไปจนถึงวัน
  • การคลอดระยะกระตือรือร้น (active labor) ระยะนี้ปากมดลูกจะเปิดมากขึ้นตั้งแต่ 6 เซนติเมตรจนถึง 10 เซนติเมตร การบีบรัดจะรุนแรงขึ้นและถี่ขึ้น การคลอดระยะนี้มักกินเวลา 4 ถึง 8 ชั่วโมงหรือนานกว่านั้น

ระยะที่ 2: ระยะการคลอดลูก

การคลอดระยะนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น การตั้งครรภ์ครั้งแรกหรือไม่ การใช้ยาชา ในระยะนี้ปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ โดยคุณแม่จะต้องใช้แรงเบ่งเพื่อดันทารกออกมาทางช่องคลอด เบ่งตามจังหวะที่ถูกต้อง เปลี่ยนท่าทางในการเบ่งเพื่อช่วยให้ทารกคลอดออกมาได้ง่ายขึ้น

ระยะที่ 3: ระยะการคลอดรก

หลังจากคลอดทารกแล้ว มดลูกจะยังคงหดตัวเพื่อให้รกหลุดออกมา คุณแม่จะต้องเบ่งอีกครั้งเพื่อให้รกหลุดออกมา ระยะนี้มักใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ประเภทของการคลอดลูก

  • การคลอดลูกมีหลายวิธี แต่โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

การคลอดปกติ (Vaginal delivery) 

การคลอดปกติ หรือ การคลอดทางช่องคลอด ทารกจะคลอดออกมาผ่านช่องคลอดตามธรรมชาติของแม่ เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดและมีความเสี่ยงน้อยที่สุด การคลอดทางช่องคลอดแบบธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการใช้ยากระตุ้นให้คลอด

  • ข้อดี
    • ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัด ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การเสียเลือด และภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
    • การคลอดปกติช่วยกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการให้นมบุตร
    • ช่วยให้มดลูกหดตัวกลับสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น
    • ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าการผ่าตัดคลอด
  • ข้อเสีย
    • การคลอดปกติเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวดมาก
    • ไม่สามารถกำหนดวันและเวลาคลอดได้
    • อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การฉีกขาดของช่องคลอด ตกเลือดหลังคลอด ติดเชื้อ 

การคลอดช่วยด้วยเครื่องมือ (Assisted vaginal delivery)

การคลอดทางช่องคลอดโดยใช้เครื่องมือช่วยคือการที่สูติแพทย์ใช้คีมหรือเครื่องดูดสุญญากาศเพื่อช่วยให้ทารกคลอดออกมา วัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้การคลอดเป็นไปได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับทั้งแม่และเด็ก สาเหตุที่ต้องใช้เครื่องมือ อาจมาจากทารกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม มดลูกบีบตัวไม่แรงพอ อัตราการเต้นของหัวใจทารกผิดปกติ

  • ข้อดี
    • ช่วยให้การคลอดเป็นไปได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงที่ทารกจะขาดออกซิเจน
    • ลดความเสี่ยงที่แม่จะต้องผ่าตัดคลอด 
    • รักษาภาวะแทรกซ้อนบางอย่างได้ เช่น การคลอดนานเกินไป หรือการที่รกหลุดก่อนเวลาอันควร
  • ข้อเสีย
    • อาจทำให้เกิดบาดแผลที่ศีรษะของทารก เช่น เลือดออกใต้หนังศีรษะ หรือรอยช้ำ
    • อาจทำให้เกิดบาดแผลที่ช่องคลอด เช่น ฉีกขาด
    • มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทั้งในแม่และทารก

การผ่าตัดคลอด (C-section)

การผ่าตัดคลอด หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ซีซาร์ (Cesarean section) คือการผ่าตัดเพื่อนำทารกออกจากครรภ์ของคุณแม่โดยผ่านทางการผ่าตัดที่หน้าท้องและมดลูก ซึ่งแตกต่างจากการคลอดปกติที่ทารกจะออกมาทางช่องคลอด โดยปกติแล้วการผ่าคลอดจะใช้ในกรณีที่การคลอดธรรมชาติอาจมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของแม่หรือทารก 

  • ข้อดี
    • สามารถวางแผนการคลอดได้ วางแผนวันและเวลาที่แน่นอนในการคลอด
    • ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง เช่น การฉีกขาดของช่องคลอด
    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคเบาหวาน
    • ในกรณีที่เกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น รกหลุด หรือสายสะดือพันคอแน่น สามารถช่วยชีวิตแม่และทารกได้
  • ข้อเสีย
    • ความเสี่ยงจากการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ การเสียเลือด และการเกิดลิ่มเลือด
    • เวลาในการฟื้นตัวนานกว่า เมื่อเทียบกับการคลอดปกติ
    • อาจมีแผลเป็นที่หน้าท้อง
    • ความเสี่ยงในการผ่าตัดครั้งต่อไป

การคลอดทางช่องคลอดหลังผ่าคลอด (VBAC) 

VBAC ย่อมาจาก Vaginal Birth After Cesarean หมายถึง การคลอดลูกปกติทางช่องคลอดในคนที่เคยผ่าตัดคลอดมาก่อน เนื่องจากการผ่าคลอดจะทำให้มีรอยแผลเป็นบนมดลูก ดังนั้นการคลอดปกติจึงมีความเสี่ยงที่มดลูกอาจแตกตรงรอยแผลที่เคยผ่าคลอดก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่ทุกคนที่เคยผ่าตัดคลอดจะสามารถคลอด VBAC ได้ แพทย์สูติฯ จะพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง เช่น จำนวนครั้งที่เคยผ่าตัด สุขภาพโดยรวมของแม่ ขนาดของทารกในครรภ์ ท่าของทารกขณะอยู่ในครรภ์ เป็นต้น

  • ข้อดี
    • ลดความเสี่ยงจากการผ่าตัดซ้ำ
    • ฟื้นตัวเร็ว
  • ข้อเสีย
    • มีความเสี่ยงที่มดลูกจะแตก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน
    • อาจต้องใช้เวลานานกว่าการผ่าตัด
    • อาจมีความเจ็บปวดมากกว่าการผ่าตัด

ปัจจัยที่มีผลต่อการคลอดลูก

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับแม่

  • อายุของแม่ที่น้อยหรือสูงอายุเกินไป อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอดลูกได้
  • โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือการติดเชื้อ สามารถส่งผลต่อการคลอดได้
  • การตั้งครรภ์ครั้งแรกมักจะใช้เวลานานในการคลอดมากกว่าผู้ที่เคยคลอดบุตรมาก่อน
  • ระยะห่างระหว่างการตั้งครรภ์ หากมีการตั้งครรภ์ติดกันเร็วเกินไป มดลูกอาจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทำให้การคลอดครั้งต่อไปมีความเสี่ยง
  • ขนาดและรูปร่างของอุ้งเชิงกรานที่แคบหรือผิดรูปอาจทำให้การคลอดลำบาก
  • ความเครียด ความวิตกกังวล หรือความกลัว สามารถส่งผลต่อการหดตัวของมดลูกและทำให้การคลอดล่าช้า

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทารก

  • ขนาดและน้ำหนักของทารกที่มีขนาดใหญ่หรือน้ำหนักตัวมาก อาจทำให้การคลอดยากขึ้น
  • ตำแหน่งของทารกในครรภ์หากอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ เช่น ศีรษะไม่หันลงมา อาจต้องมีการผ่าตัดคลอด
  • หากสายสะดือพันรอบคอทารก อาจทำให้การคลอดยากขึ้นและมีความเสี่ยงต่อทารก
  • น้ำคร่ำน้อยหรือมากเกินไป อาจส่งผลต่อการคลอดได้

ปัจจัยอื่น ๆ

  • การหดตัวของมดลูกที่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่แรงพอ อาจทำให้การคลอดล่าช้า
  • การใช้ยาบางชนิดระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการคลอดได้
  • การใช้เครื่องมือช่วยคลอด หรือการผ่าตัดคลอด ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการคลอด

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดในการคลอดลูก

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่

  • การเสียเลือดมาก ซึ่งอาจเกิดจากรกเกาะติดผนังมดลูกแน่น หรือมดลูกหดตัวไม่ดี
  • ความดันโลหิตสูง อาจเกิดขึ้นหลังคลอด ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา
  • การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือแผลผ่าตัด
  • ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
  • ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เป็นภาวะทางอารมณ์ที่พบได้บ่อยในคุณแม่หลังคลอด

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับลูก

  • การขาดออกซิเจน อาจเกิดจากสายสะดือพันคอ หรือปัญหาในการคลอด
  • ภาวะติดเชื้อ อาจได้รับเชื้อจากแม่ระหว่างคลอด
  • ภาวะตัวเหลือง เกิดจากระดับบิลิรูบินในเลือดสูง
  • ภาวะสมองพิการ อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์หรือการคลอด

สรุป

การคลอดลูกมีด้วยกันหลายวิธี โดยการคลอดปกติเป็นวิธีที่ปลอดภัยและเป็นที่แนะนำมากที่สุด เว้นแต่จะมีเหตุผลทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอด ถึงแม้การคลอดลูกเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ แต่ก็มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการเข้ารับการตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบภาวะเสี่ยงและสามารถในการจัดการปัญหาอย่างเหมาะสม การคลอดบุตรก็เป็นไปได้ด้วยดีและปลอดภัย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

สารบัญ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง