โรคมะเร็ง (cancer) เป็นโรคร้ายแรงที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประชากรทั่วโลกองค์การอนามัยโลกรายงานว่าในปี 2020 มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเกือบ 10 ล้านคนทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย โรคมะเร็งก็นับเป็นสาเหตุอันดับ 1 เช่นกันที่คร่าชีวิตคนไทยติดต่อกันหลายปี กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ในปี 2562 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 84,073 คนต่อปี ทั้งนี้โรคมะเร็งนับเป็นโรคเรื้อรังและร้ายแรง โดยทั่วไปไม่มีอาการที่จำเพาะเจาะจง อาการที่แสดงออกของแต่ละคนมักขึ้นกับชนิดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง โดยที่อาการแสดงที่ชัดเจนมักมีให้เห็นเมื่ออยู่ในระยะลุกลาม ทำให้การตรวจพบมะเร็งมักอยู่ในระยะที่มีการลุกลามแล้ว ทำให้การรักษาซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นหากตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ในระยะต้นจึงมีโอกาสที่จะรักษาให้หายเป็นปกติได้มากกว่า
สารบัญ
โรคมะเร็งคืออะไร?
โรคมะเร็ง คือ โรคที่มีการเจริญของเซลล์ที่ผิดปกติ โดยเซลล์มะเร็งจะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วกว่าเซลล์ปกติของร่างกาย และร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติเหล่านี้ได้ทัน ทำให้เซลล์มะเร็งเหล่านี้เพิ่มจำนวนและกลายเป็นเนื้องอกที่ผิดปกติ มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนไปกดเบียดและทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ และอวัยวะข้างเคียง และหากไม่ได้รับการรักษาเซลล์มะเร็งเหล่านี้สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปผ่านระบบไหล เวียนเลือดและน้ำเหลือง ทำให้อวัยวะเหล่านั้นมีเซลล์มะเร็งไปเจริญอยู่และแบ่งตัวเป็นเนื้อเยื่อมะเร็งแล้วทำลายอวัยวะนั้น ๆ ซึ่งหากมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะหลาย ๆ ระบบก็จะทำให้การทำงานของร่างกายเสียไป จนอาจนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
ชื่อเรียกโรคมะเร็งในภาษาอังกฤษว่า “cancer” มาจากคำในภาษากรีกว่า “cancinos” ซึ่งแปลว่า ปู (crab) โดยฮิปโปเครตีส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์ตะวันตก เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า cancer เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีลักษณะการลุกลามออกไปจากตัวก้อนมะเร็งเหมือนกับขาปูที่ออกไปจากตัวปู
แม้ว่ามะเร็งจะเป็นเนื้องอกชนิดหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามเนื้องอกของอวัยวะต่าง ๆ อาจไม่ใช่มะเร็งเสมอไป เนื้องอกเหล่านั้นอาจเป็นเพียงเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ลุกลามไปทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ทั้งนี้การวินิจฉัยว่าเนื้องอกนั้น ๆ เป็นมะเร็งหรือไม่ ต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้วย
เนื้องอกชนิดธรรมดากับมะเร็งต่างกันอย่างไร?
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือเนื้องอกธรรมดาก็จะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อหรือตุ่ม ที่เกิดจากการเจริญและแบ่งตัวที่มากเกินไปของเซลล์ร่างกาย อย่างไรก็ตามเราสามารถแยกความแตกต่างของเนื้องอกธรรมดาและมะเร็งคร่าว ๆ ได้จากลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
- เนื้องอกชนิดธรรมดาจะมีลักษณะ
- โตช้า การเพิ่มขนาดของก้อนเนื้องอกจะมีค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น
- เมื่อก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจมีการกดเบียดเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง แต่จะไม่ทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ
- ก้อนเนื้องอกจะไม่ลุกลามเข้าหลอดเลือด ระบบไหลเวียนเลือด หลอดน้ำเหลือง และระบบไหลเวียนน้ำเหลือง ดังนั้นเนื้องอกชนิดนี้จะไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป
- รักษาได้ด้วยการผ่าตัด
- ก้อนมะเร็งจะมีลักษณะ
- เซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวเร็วจึงทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ลุกลามทำลายอวัยวะข้างเคียงจนอวัยวะนั้น ๆ ทำงานผิดปกติไป
- ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ข้างเคียง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต
- เซลล์มะเร็งสามารถลุกลามและแพร่กระจายเข้าสู่หลอดเลือด ระบบไหลเวียนเลือด หลอดน้ำเหลือง ระบบไหลเวียนน้ำเหลือง และอวัยวะต่าง ๆ เช่น ปอด ตับ สมอง ไต กระดูก ไขกระดูก หรืออวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป
- มะเร็งมักจะไม่สามารถรักษาหายได้ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ต้องรักษาแบบผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน
โรคมะเร็งมีกี่ชนิด?
ปัจจุบันพบว่ามีมะเร็งมากกว่า 100 ชนิด โดยจะเรียกชื่อตามอวัยวะที่เกิดมะเร็งมะเร็ง เช่น
- มะเร็งปอด
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งปากมดลูก
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- มะเร็งกระเพาะอาหาร
- มะเร็งตับ
- มะเร็งผิวหนัง
- มะเร็งไทรอยด์
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- มะเร็งสมอง
- หรือมะเร็งของอวัยวะอื่น ๆ
หรือเรียกชื่อตามชนิดของเซลล์ที่เกิดมะเร็ง เช่น
- คาซิโนมา (carcinoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่อบุอวัยวะภายใน เป็นชนิดของมะเร็งที่พบมากที่สุด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด เป็นต้น
- ซาโคมา (sarcoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์กระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ หรือหลอดเลือด หลอดน้ำเหลือง เช่น มะเร็งกระดูก
- ลิวคิเมีย (leukemia) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้เกิดความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือด
- ลิมโฟมา (lymphoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด lymphocytes (T call หรือ B cell) เป็นเซลล์ในต่อมน้ำเหลืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เรียกชื่อมะเร็งชนิดนี้ว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- มัลติเปิลไมอิโลมา (multiple myeloma) เป็นมะเร็งของเซลล์เม็ดเลือดชนิดพลาสมาเซลล์ (plasma cell) ที่เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เซลล์ชนิดนี้จะอยู่ในไขกระดูก ทำให้บางคนเรียกมะเร็งชนิดนี้ว่า มะเร็งไขกระดูก
- เมลาโนมา (melanoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดสี (melanocyte) ซึ่งอยู่ที่ชั้นผิวหนังและบริเวณม่านตา
- มะเร็งระบบสมองและไขสันหลัง (central nervous system cancers) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ประสาททั้งที่อยู่ในสมองและไขสันหลัง
- เซลล์มะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้แก่
- Germ cell tumors เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์สืบพันธุ์
- Neuroendocrine tumors เป็นมะเร็งที่มีเกิดจากเซลล์ที่สร้างและหลั่งฮอร์โมนและทำงานสัมพันธ์กับระบบประสาทที่เรียกว่า neuroendocrine cell
ซึ่งโดยทั่วไปเราจะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะที่เป็น แต่ในทางการแพทย์มักแบ่งชนิดของมะเร็งตามชนิดของเซลล์ที่เกิดมะเร็ง เพราะเซลล์มะเร็งแต่ละชนิดมีการดูแลรักษา และการดำเนินโรคที่ต่างกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนรักษามะเร็งแต่ละชนิด
โรคมะเร็งที่พบบ่อย
โรคมะเร็ง พบได้ในทุกเพศและทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะพบในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จากข้อมูลที่มีการรายงานโดยองค์การอนามัยโลก ได้รายงานสถิติอุบัติการณ์ของผู้ป่วยโรคมะเร็งของประเทศไทยในปี 2020 แบ่งตามเพศดังนี้
โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้ชายไทย 5 อันดับแรก
- มะเร็งตับและท่อน้ำดี
- มะเร็งปอด
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งที่พบบ่อยในผู้หญิงไทย 5 อันดับแรก
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง
- มะเร็งปากมดลูก
- มะเร็งตับและท่อน้ำดี
- มะเร็งปอด
โรคมะเร็งเกิดจากอะไร?
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง แต่จากข้อมูลทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์พบว่ามะเร็งอาจเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวม ๆ กัน ทั้งปัจจัยภายในร่างกาย เช่น เพศ พันธุกรรม ปัจจัยภายนอก เช่น ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมีต่าง ๆ พฤติกรรมการใช้ชีวิต
ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ปัจจัยภายนอกร่างกายหรือจากสิ่งแวดล้อม และปัจจัยภายในร่างกาย ดังนี้
1. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงได้ด้วยการปรับรูปแบบการดำเนินชีวิตหรือหลีกเลี่ยงการใช้หรือสัมผัสปัจจัยเหล่านี้
- สารเคมีบางชนิด
- สีย้อมผ้า มีสารกลุ่มไนโตรซามิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
- สารอะฟลาทอกซินซึ่งเป็นสารพิษจากเชื้อรา ที่ปนเปื้อนในอาหาร โดยเฉพาะในอาหารแห้งต่าง ๆ เช่น ถั่ว พริกแห้ง ธัญพืชแห้ง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งตับ
- สารเคมีในควันบุหรี่และเขม่ารถยนต์ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งช่องปากและมะเร็งปอด
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ
- สารพิษจากเนื้อสัตว์ที่ผ่านกรรมวิธีการปรุงแต่ง เช่น รมควัน ปิ้ง ย่าง ทอดจนไหม้เกรียม ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลายชนิด
- สารเคมีบางชนิดจากกระบวนการอุตสาหกรรม
- รังสีต่าง ๆ ได้แก่ กัมมันตรังสี รังสีเอกซเรย์ที่ได้รับเกินมาตรฐาน และรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นต้น
- การติดเชื้อเรื้อรัง ได้แก่
- ไวรัสตับอักเสบ ชนิดบี และชนิดซี สัมพันธ์กับมะเร็งตับ
- เชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ซึ่งอยู่ในกระเพาะอาหารสัมพันธ์กับมะเร็งกระเพาะอาหาร
- ไวรัส Ebstein-Barr มีความสัมพันธ์กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งโพรงหลังจมูก
- ไวรัส human papilloma เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก
- พยาธิใบไม้ตับ ซึ่งจะมากับการรับประทานอาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ สัมพันธ์กับมะเร็งท่อน้ำดี
2. ปัจจัยภายในร่างกาย เป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่
- อายุที่มากขึ้น จะเสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น
- พันธุกรรม หากมีประวัติพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องเป็นมะเร็ง จะทำให้มีความเสี่ยงต่อมะเร็งมากขึ้น
- ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- การการระคายเคืองซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน
- ภาวะทุพโภชนาการ หรือร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
การวินิจฉัยโรคมะเร็ง
การวินิจฉัยโรคมะเร็งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การตรวจร่างกายโดยแพทย์ หรือในมะเร็งบางชนิดเราสามารถตรวจร่างกายด้วยตัวเองได้เบื้องต้น เช่น มะเร็งเต้านม
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ และตรวจเสมหะ เป็นต้น
- การตรวจทางพยาธิวิทยา โดยการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อที่สงสัยไปตรวจเพื่อดูลักษณะของเซลล์ว่าเป็นเซลล์มะเร็งหรือไม่
- ตรวจทางรังสี เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เอกซเรย์เฉพาะอวัยวะ การตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ เป็นต้น
- ตรวจโดยใช้เครื่องมือพิเศษต่าง ๆ เช่น การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก กระเพาะอาหาร และลำคอ การตรวจอัลตราซาวนด์อวัยวะต่าง ๆ การตรวจเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้าอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น
อาการของโรคมะเร็ง
มะเร็งระยะแรกมักไม่แสดงอาการ และบ่อยครั้งที่ตรวจพบจากการตรวจสุขภาพ อาการของโรคมะเร็งขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง โดยอาจมีอาการต่าง ๆ ดังนี้
- มีไข้
- มีไข้ต่ำ ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ
- มีไข้สูงบ่อย ๆ ที่ไม่ทราบสาเหตุ
- มีเลือดออก
- อาเจียนเป็นเลือด
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือมูกเลือด
- มีรอยจ้ำ เป็นห้อเลือดง่าย หรือมีจุดแดงตามผิวหนัง
- มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ประจำเดือนผิดปกติ มีเลือดออกทางช่องคลอดในวัยหมดประจำเดือน หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- อาการปวด
- ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง
- ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
- ความผิดปกติของระบบประสาท
- แขนและ/หรือขาอ่อนแรง
- มีอาการชัก โดยที่ไม่มีประวัติของโรคอื่น ๆ ที่ทำให้มีอาการชัก
- ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
- ท้องผูกสลับท้องเสีย
- ท้องอืด ปวดเสียด ท้องเฟ้อแน่น อึดอัดท้อง เป็นเวลานาน
- น้ำหนักลดลงมาก โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ปัสสาวะเล็ด โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ความผิดปกติอื่น ๆ
- กลืนลำบาก
- เสียงแหบ ไอเรื้อรัง
- แผลหายยาก รักษาไม่หาย
- มีการเปลี่ยนแปลงของหูดและไฝตามร่างกาย
- มีก้อนหรือตุ่มต่าง ๆ ตามร่างกาย
7 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง
โรคมะเร็งอาจไม่มีอาการแสดง หรือหากมีอาการก็อาจไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือเป็นมะเร็งชนิดใด ดังนั้นหากสงสัยว่ามีอาการของโรคมะเร็งควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยโรคให้ชัดเจน โดยอาการเบื้องต้นที่อาจเป็นอาการของโรคมะเร็ง ได้แก่
- มีก้อนเนื้อโตเร็วหรือมีแผลเรื้อรังไม่หายภายใน 1 – 2 สัปดาห์ หลังการดูแลรักษาเบื้องต้น
- เสียงแหบ ไอเรื้อรัง มีเสมหะ หรือเสมหะปนเลือด
- กลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- หายใจหรือมีกลิ่นปากรุนแรงโดยจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
- ระบบขับถ่ายแปรปรวน มีการถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากเดิม
- ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลง มีลักษณะของหูด ไฝ ปาน โตขึ้น หรือผิดปกติ หรือเป็นแผลแตก
- มีเลือดหรือของเหลวผิดปกติไหลออกจากร่างกาย เช่น เลือดกำเดาออกเรื้อรัง (อาจเป็นข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้) มีตกขาวผิดปกติ มีเลือดหรือของเหลวออกจากหัวนม เป็นต้น
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นมะเร็ง?
แม้ว่ามะเร็งจะเป็นโรคที่บอกสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคที่แน่ชัดไม่ได้ แต่จากความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันพบว่ามะเร็งเป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวม ๆ กัน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้คือปัจจัยที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งจึงเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าคนอื่น ๆ
ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งก็มีทั้งปัจจัยภายในร่างกายและปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยปัจจัยภายในร่างกายบางอย่างเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อายุ พันธุกรรม ดังนั้นหากมีความเสี่ยงทางด้านร่างกายอยู่เดิมแล้ว ควรควบคุมและหลีกเลี่ยงปัจจัยสิ่งจากสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีสารประกอบหรือมีสารก่อมะเร็ง ไม่ไปสัมผัสสารเคมีที่อันตรายต่าง ๆ ป้องกันการติดเชื้อที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็ง เป็นต้น ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงและลดโอกาสการเกิดมะเร็งลงได้
ระยะของโรคมะเร็ง
ระดับความรุนแรงของโรค ประเมินได้จากการลุกลาม และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
- ระยะที่ 2 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ
- ระยะที่ 3 ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
- ระยะที่ 4 อาการรุนแรงมากขึ้น
- ก้อนหรือแผลมะเร็งมีขนาดใหญ่มาก
- ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะข้างเคียงจนทำให้มีแผลเลือดออก หรือเป็นแผลเปิดและ/หรือลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้อวัยวะที่เป็นมะเร็ง จนคลำพบต่อมน้ำเหลืองโต
- มะเร็งแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด และ/หรือกระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต หรือต่อมน้ำเหลือง
โรคมะเร็งติดต่อได้หรือไม่?
โรคมะเร็งเป็นโรคไม่ติดต่อ ดังนั้นการไปสัมผัส พูดคุย หรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วยโรคมะเร็งจึงไม่ทำให้เป็นมะเร็งไปด้วย อย่างไรก็ตามมะเร็งบางชนิดมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ เช่น มะเร็งปากมดลูก ที่เกิดจากไวรัสเอชพีวี (HPV virus) มะเร็งตับที่มีสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบ หรือมะเร็งกระเพราะอาหารที่มีปัจจัยเสี่ยงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย H. pyrori เป็นต้น แม้ว่าการติดเชื้อต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งเสมอไปแต่จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งมากขึ้น ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อจึงนับได้ว่าเป็นการป้องกันมะเร็งได้อีกวิธีหนึ่ง
คัดกรองโรคมะเร็งอย่างไรได้บ้าง?
การตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยให้ตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ และจะทำให้การรักษาไม่ซับซ้อนและให้ผลการกรักษาที่ดี ซึ่งในปัจจุบันการตรวจคัดกรองมะเร็งมักจะอยู่ในโปรแกรมการตรวจสุขภาพ หรืออาจมีโปรแกรมตรวจสุขภาพเฉพาะโรคมะเร็งนั้น ๆ เพื่อการตรวจที่ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งการตรวจคัดกรองความเสี่ยงของโรคมะเร็งทำได้โดย
- การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP
- การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ CEA
- การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก PSA
- การตรวจสารบ่งชี้มะเร็งเต้านม CA153
- การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ThinPrep Pap Test
การรักษาโรคมะเร็ง
การรักษาโรคมะเร็งจะขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ระยะของโรคและความรุนแรงของโรค ซึ่งแพทย์อาจจำเป็นต้องใช้การรักษาหลายวิธีประกอบกันเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด ความสำเร็จในการรักษามักจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค หากวินิจฉัยและรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ ผลการรักษาจะดีกว่า การตรวจพบและรักษาที่ระยะรุนแรงแล้ว โดยวิธีการรักษาโรคมะเร็งโดยทั่วไป มีดังนี้
- การผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออก
- การให้ยาเคมีบำบัด เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
- การใช้เทคโนโลยีรังสีรักษา เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง
- การใช้ฮอร์โมนบำบัด เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- รักษาแบบผสมผสาน เป็นการรักษาร่วมกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค
โรคมะเร็ง รักษาหายหรือไม่
มะเร็งเป็นโรคที่สามารถรักษาหายได้ อย่างไรก็ตามจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
- ระยะของโรค
- ชนิดของเซลล์มะเร็ง
- การผ่าตัดสามารถเอาก้อนมะเร็งออกได้หมดหรือไม่
- การตอบสนองของมะเร็งต่อการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ
- อายุและสุขภาพของผู้ป่วย
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นการรักษาตั้งแต่ระยะแรกหรือรักษาตั้งแต่ยังไม่มีอาการจะให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด ดังนั้น การตรวจสุขภาพ และการหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของร่างกายจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเพราะจะสามารถทำให้ตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ
การป้องกันโรคมะเร็ง
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันมะเร็งแบบจำเพาะเจาะจง วิธีที่ดีที่สุด คือ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เช่น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงปัจจัยก่อมะเร็งจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารเคมี รังสีต่าง ๆ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยก่อมะเร็งจากสิ่งกระตุ้นภายในร่างกาย เช่น ความเครียด
- ตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคมะเร็งเป็นประจำ
สรุป
มะเร็ง เป็นโรคที่ที่เกิดจากการเจริญโตที่ผิดปกติของเซลล์ร่างกายโดยเซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดใหญ่ และทำลายเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ จนการทำงานเสียไป ในระยะรุนแรงมะเร็งอาจลุกลามไปอวัยวะข้างเคียงหรืออวัยวะที่อยู่ไกลออกไป จะไปทำนั้นอวัยวะนั้น ๆ เสียการทำงานไปด้วย
มะเร็งเป็นโรคที่มักจะไม่แสดงอาการในระยะแรก และมักจะเริ่มแสดงอาการให้เห็นเมื่อเข้าสู่ระยะที่รุนแรงมากขึ้นแล้ว ทำให้ผู้ป่วยหลายรายเข้ารับการรักษาช้าจนมะเร็งอยู่ในระยะที่รุนแรง และลุกลามไปอวัยวะอื่น ๆ แล้ว ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งแต่ละชนิดตามความเสี่ยงจึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะจะช่วยให้ตรวจพบและรักษาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งโอกาสหายขาดมีสูงกว่า
การรักษาสุขภาพและหลีกเลี่ยงปัจจัยก่อมะเร็งเป็นอีกทางหนึ่งที่สำคัญที่จะลดความเสี่ยง และแนวโน้มการเป็นมะเร็งลงได้ เพื่อให้สุขภาพเราแข็งแรง และห่างไกลจากโรคมะเร็ง