ผ่าคลอดสบายใจ ฟื้นตัวไวด้วยวิธีบล็อกหลัง

บล็อกหลัง

การผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง หรือในภาษาทางการแพทย์เรียกว่า การผ่าตัดคลอดภายใต้การระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง (Cesarean Section with Spinal Anesthesia) คือหนึ่งในวิธีการผ่าตัดคลอดบุตรที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ด้วยเทคนิคที่มุ่งเน้นการระงับความรู้สึกเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย ยังคงรู้สึกตัวดีตลอดกระบวนการผ่าตัด แต่จะไม่ความเจ็บปวดในบริเวณที่ทำการผ่าตัด วิธีการนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ เนื่องจากเป็นทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงสำหรับทั้งคุณแม่และทารก ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาสลบทั่วร่างกาย การตัดสินใจว่าจะผ่าคลอดแบบบล็อกหลังหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย วิสัญญีแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำ เพื่อให้คุณแม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

สารบัญ

  • ผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง คืออะไร
  • ผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง มีกี่ประเภท
  • ขั้นตอนผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง
  • ข้อดีของผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง
  • ความเสี่ยงและผลข้างเคียง
  • การดูแลหลังผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง
  • สรุป

ผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง คืออะไร

การบล็อกหลัง คือการระงับความรู้สึกหรือบรรเทาอาการปวดในบริเวณส่วนล่างของร่างกาย โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ (Local Anesthetic) หรือยาแก้ปวด (Analgesic) เข้าไปในบริเวณใกล้เคียงกับไขสันหลังและเส้นประสาท ทำให้สัญญาณประสาทที่ส่งจากบริเวณนั้นไปยังสมองถูกปิดกั้น จึงทำให้เกิดอาการชาและไม่รู้สึกเจ็บปวดในบริเวณที่ต้องการ

การบล็อกหลังมีวัตถุประสงค์หลักๆ อยู่ 2 ประการ คือ

  • ระงับความรู้สึกสำหรับการผ่าตัด
  • บรรเทาอาการปวด

การผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง หมายถึง การระงับความรู้สึกเฉพาะส่วนล่างของร่างกายด้วย การฉีดยาชาเข้าช่องไขสันหลัง (Spinal Block) แทนการใช้ยาสลบทั่วร่างกาย (General Anesthesia) จะยังคงรู้สึกตัวดีในระหว่างการผ่าตัด แต่จะไม่รู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงไปถึงปลายเท้า

บล็อกหลังคืออะไร

ผ่าคลอดแบบบล็อกหลังมีกี่ประเภท

บล็อกหลัง สำหรับการผ่าคลอด มีประเภทหลักๆ ที่นิยมใช้ 3 ประเภท ดังนี้

  • การระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง (Spinal Anesthesia หรือ Spinal Block) เป็นการฉีดยาชาเฉพาะที่ เพียงครั้งเดียว เข้าไปใน น้ำไขสันหลัง บริเวณช่องใต้เยื่อหุ้มไขสันหลัง 
      • ระยะเวลาการออกฤทธิ์ โดยทั่วไป Spinal Block จะออกฤทธิ์ในการระงับความรู้สึกประมาณ 1-3 ชั่วโมง ซึ่งเพียงพอสำหรับการผ่าคลอดตามปกติ 
  • การระงับความรู้สึกทางช่องไขสันหลังส่วนนอก (Epidural Anesthesia หรือ Epidural Block) เป็นการสอด สายสวน (Catheter) ขนาดเล็กๆ เข้าไปใน ช่องไขสันหลังส่วนนอก ซึ่งเป็นช่องว่างที่อยู่ภายนอกเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอก และภายในช่องกระดูกสันหลัง จากนั้นจะทำการ ให้ยาชาหรือยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นระยะๆ ผ่านสายสวน 
      • ระยะเวลาการออกฤทธิ์ สามารถให้ยาได้อย่าง ต่อเนื่องและยาวนาน ตราบเท่าที่สายสวนยังคงคาอยู่ ทำให้สามารถควบคุมระยะเวลาการระงับความรู้สึกได้ตามความต้องการ
  • การระงับความรู้สึกแบบผสมผสานทางไขสันหลังและช่องไขสันหลังส่วนนอก (Combined Spinal-Epidural Anesthesia หรือ CSE) เป็นการรวมเอาข้อดีของทั้ง Spinal Block และ Epidural Block มาไว้ด้วยกัน โดยเริ่มต้นด้วยการทำ Spinal Block เพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ในการระงับความรู้สึกสำหรับการผ่าตัด จากนั้นจึงใส่สายสวน Epidural เพื่อให้สามารถให้ยาต่อเนื่องได้
      • ระยะเวลาการออกฤทธิ์: เช่นเดียวกับ Epidural Block, CSE สามารถควบคุมระยะเวลาการระงับความรู้สึกได้ตามต้องการ เนื่องจากมีสายสวนสำหรับให้ยาต่อเนื่อง

ขั้นตอนผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง

ขั้นตอนการบล็อกหลัง (Spinal Block)

  • การเตรียมตัว
    • ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอธิบายขั้นตอนการบล็อกหลังโดยวิสัญญีแพทย์
    • มีการติดเครื่องวัดสัญญาณชีพ เช่น ความดันโลหิต, คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), และวัดระดับออกซิเจนในเลือด
    • ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
    • จัดท่าทาง โดยทั่วไปจะจัดท่านั่งหลังโก่ง หรือนอนตะแคงงอเข่าชิดหน้าอก เพื่อให้กระดูกสันหลังเปิดกว้าง
  • ขั้นตอนการทำบล็อกหลัง
    • วิสัญญีแพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังบริเวณหลังส่วนล่างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
    • ระบุตำแหน่งที่จะทำการบล็อกหลัง โดยคลำกระดูกสันหลัง
    • ฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณผิวหนัง เพื่อลดความเจ็บปวดขณะแทงเข็มจริง
    • แทงเข็มขนาดเล็กผ่านผิวหนังและเนื้อเยื่อต่างๆ เข้าไปยังช่องน้ำไขสันหลัง (Subarachnoid Space) ในบริเวณหลังส่วนล่าง
    • เมื่อเข็มเข้าสู่ช่องน้ำไขสันหลัง จะมีน้ำไขสันหลังไหลออกมา ยืนยันตำแหน่งที่ถูกต้อง
    • ฉีดยาชาเฉพาะที่เข้าไปในช่องน้ำไขสันหลัง
    • ถอนเข็มออก และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์
  • การตรวจสอบผลการบล็อกหลัง
    • วิสัญญีแพทย์จะตรวจสอบว่าการบล็อกหลังได้ผลหรือไม่ โดยการทดสอบความรู้สึกและการเคลื่อนไหวของขาและเท้า
    • รอให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่ (ประมาณ 5-10 นาที) ก่อนเริ่มการผ่าตัด
    • รู้สึกอุ่นๆ และชาตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงไปถึงปลายเท้า ไม่สามารถขยับขาได้

ข้อดีของผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง

  • ปลอดภัยต่อทารกมากกว่า
  • คุณแม่รู้สึกตัวตลอดการผ่าตัด
  • ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนของมารดาจากการใช้ยาสลบทั่วร่างกาย
  • บรรเทาอาการปวดหลังผ่าตัดได้ดีในช่วงแรก
  • ฟื้นตัวเร็ว

ความเสี่ยงและผลข้างเคียง

  • ความดันโลหิตต่ำ ยาชาอาจทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง 
  • คลื่นไส้ อาเจียน อาจเกิดจากยาชา หรือความดันโลหิตต่ำ
  • อาการคัน โดยเฉพาะหากมีการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ร่วมด้วย
  • ปวดศีรษะหลังการบล็อก เกิดจากการรั่วของน้ำไขสันหลังบริเวณรอยเข็ม พบได้บ้าง แต่ไม่บ่อยนัก 
  • ปัสสาวะไม่ออก ยาชาอาจส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะชั่วคราว 
  • อาการชา หรืออ่อนแรงที่ขา เป็นอาการชั่วคราวที่เกิดจากฤทธิ์ของยาชา อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อยาหมดฤทธิ์
  • ปวดหลัง อาจมีอาการปวดบริเวณที่แทงเข็ม หรือปวดหลังทั่วไปได้บ้างเล็กน้อย
  • ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (พบได้น้อยมาก) เช่น การติดเชื้อในช่องไขสันหลัง, เลือดออกในช่องไขสันหลัง, หรือเส้นประสาทถูกทำลาย

การดูแลหลังผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง

  • การสังเกตอาการ เช่น สัญญาณชีพ, ระดับความรู้สึกตัว, การฟื้นตัวของความรู้สึกและการเคลื่อนไหวของขา, อาการปวด, และอาการข้างเคียงต่างๆ
  • ให้ยาแก้ปวดทางหลอดเลือดดำ หรือยารับประทาน เพื่อควบคุมอาการปวดหลังผ่าตัดอย่างต่อเนื่อง
  • แนะนำให้เริ่มพลิกตะแคงตัว และลุกนั่ง หรือลุกเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนาน และช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • ดูแลความสะอาดของแผลผ่าตัด และสอนวิธีการดูแลแผลที่บ้าน
  • หากมีปัญหาปัสสาวะไม่ออก อาจต้องใส่สายสวนปัสสาวะชั่วคราว และดูแลตามคำแนะนำของแพทย์
  • การพักผ่อน, การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์, การดูแลแผล, การสังเกตอาการผิดปกติ, และการมาติดตามอาการตามนัด
การดูแลหลังผ่าคลอดแบบบล็อกหลัง

สรุป

การบล็อกหลังผ่าคลอด เป็นวิธีการระงับความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับการผ่าคลอดบุตร มีข้อดีหลายประการ คุณแม่ยังคงรู้สึกตัว และมีผลกระทบต่อทารกน้อย อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อเสียและข้อควรระวังที่ต้องพิจารณาเช่นกัน การตัดสินใจเลือกวิธีการระงับความรู้สึกสำหรับการผ่าคลอด ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของคุณแม่แต่ละราย เพื่อให้ได้รับการดูแลที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด

แท็กที่เกี่ยวข้อง

สารบัญ

แพ็กเกจที่เกี่ยวข้อง